ข่าวสารที่น่าสนใจ
วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558
แนวคิดจำแนกพฤติกรรมทางปัญญาของบลูมที่ปรับปรุงใหม่(ค.ศ.2001) กับการบริหารสถานศึกษาในบริบทประเทศไทย
แนวคิดจำแนกพฤติกรรมทางปัญญาของบลูมที่ปรับปรุงใหม่(ค.ศ.2001)
กับการบริหารสถานศึกษาในบริบทประเทศไทย
ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นผู้ที่มีบทบาทสูงอย่างยิ่งต่อการจัดการศึกษาของโรงเรียนให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะ ทักษะความสามารถ และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข บรรลุเป้าหมายที่หลักสูตรต้องการโดยบริหารและจัดการกับปัจจัยที่มีในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมให้กระบวนการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ อันจะส่งผลต่อคุณภาพผู้เรียนซึ่งเป็นผลผลิตในที่สุด ดังนั้นหากผู้บริหารสถานศึกษามีความรู้ความเข้าใจในมิติของการจำแนกพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ถูกต้อง ย่อมจะส่งผลให้มุมมองทางการบริหารที่จะช่วยอำนวยการให้การพัฒนาลำดับขั้นการคิดของผู้เรียนให้สามารถคิดขั้นสูงขึ้นได้ครอบคลุมทั้งมิติด้านกระบวนการคิด และมิติด้านความรู้ ผู้บริหารที่มีทักษะในการบริหารจัดการหลักสูตรและการเรียนการสอนในสถานศึกษา จึงควรบริหารจัดการปัจจัยที่เอื้อให้ครู และผู้เรียนประสบความสำเร็จในการเรียนการสอนทั้งมิติของความรู้และกระบวนการทางปัญญาในจุดที่สมดุลตามความแตกต่างของผู้เรียนรายบุคคลได้
เมื่อปี พ.ศ.2544 (ค.ศ.2001) มีความเคลื่อนไหวทางแนวคิดด้านการศึกษาที่สำคัญแนวคิดหนึ่งได้รับความสนใจอยู่ระยะหนึ่งของวงการศึกษาที่ไม่กว้างนัก เป็นการปรับปรุงจุดมุ่งหมายทางการศึกษาของบลูม และคณะ (Benjamin Bloom) ซึ่งอดีตได้มีการพัฒนาแนวคิดนี้ตลอดระยะเวลาช่วง ค.ศ.1950-1959 และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจนถึงปัจจุบันในการนำไปใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาหลักสูตร การวางแผนการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและการประเมินผลการเรียนการสอน รวมถึงการนำไปใช้จำแนกความแตกต่างของระดับการคิดขั้นสูง-ขั้นต่ำ มีการนำไปประยุกต์ใช้ในทุกสาขาและทุกระดับการศึกษาในประเทศต่างๆทั่วโลก ในการปรับปรุงครั้งใหญ่นี้ดำเนินการโดย David Krathwohl หนึ่งในทีมงานที่ร่วมก่อตั้งแนวคิดนี้แต่แรกเริ่ม (วิทวัฒน์ ขัตติยะมานและฉัตรศิริ ปิยะพิมลสิทธิ์, 2549, 1-10) ผลจาก
การปรับปรุงจุดมุ่งหมายทางการศึกษาด้านพุทธิพิสัยครั้งใหม่นี้ มีการเปลี่ยนแปลงลำดับขั้นสูงสุด จากเดิมที่มีการประเมินค่าสูงสุดมาเป็นการคิดสร้างสรรค์ การเปลี่ยนแปลงนิยามศัพท์ใหม่ และมีการเพิ่มมิติด้านโครงสร้าง จากเดิมมีหนึ่งมิติเป็นสองมิติ คือ มิติของความรู้ และมิติของกระบวนการทางปัญญา ดังภาพประกอบต่อไปนี้
* อาจารย์ประจำภาควิชาครุศาสตร์และศิลปศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ
* ในตารางเป็นพฤติกรรมการคิดขั้นความเข้าใจด้านความรู้ในกระบวนการ
มิติ กระบวนการทางปัญญา
ความรู้ รายการ การจดจำ การเข้าใจ การประยุกต์ การวิเคราะห์ การประเมิน การสร้างสรรค์
ความรู้ในข้อเท็จจริง
ความรู้ในความคิดรวบยอด
ความรู้ในกระบวน
การ
*
ความรู้ในอภิปัญญา
การปรับปรุงดังกล่าวนี้มาสอดคล้องกับผลการวิจัยของผู้เขียนที่ทำวิจัยไว้เมื่อ พ.ศ.2541หลายประเด็น โดยเฉพาะลำดับขั้นสูงสุดที่ไม่ใช่การประเมินค่าหนึ่งเดียวตามแนวคิดเดิม ดังที่ผลสรุปเป็นรูปแบบโครงสร้าง ต่อไปนี้
ในการศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษารูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยในผลสัมฤทธิ์กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี่ที่ 6 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2540 ของโรงเรียนประถมศึกษาในสังกัดสำนักงานการประถมศึกษาอำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น จำนวน 310 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ วัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์เส้นทาง (Path Analysis) ผลการวิจัย ได้รูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยในผลสัมฤทธิ์กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต
ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ดังนี้
พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความรู้ความจำมีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุทั้งทางตรง และทางอ้อมต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการประเมินค่า
พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความเข้าใจมีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุทางอ้อมต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการประเมินค่า
พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการนำไปใช้มีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุทั้งทางตรง และทางอ้อมต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการประเมินค่า
พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการวิเคราะห์มีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุทางตรงต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการประเมินค่า
ส่วนพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการสังเคราะห์ไม่มีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการประเมินค่า
จากการศึกษาดังกล่าว สามารถอภิปรายผลในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยทั้ง 6 ลำดับขั้นมีความสัมพันธ์กัน พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยทั้ง 6 ลำดับขั้น ได้แก่ ด้านความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า มีความสัมพันธ์กันทางทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 ทุกค่า ซึ่งสอดคล้องกับผลการวิจัยของวรรณวิภา จัตุชัย (2530, 80-81) ที่ศึกษารูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย ในผลสัมฤทธิ์วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และสอดคล้องกับผลการวิจัยของประเสริฐ บุญโห้ (2536, 38-39) ที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนรู้ตามลำดับขั้นด้านพุทธิพิสัย กับระดับความสามารถในกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง ชาติไทย ซึ่งพบว่า พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยในแต่ละลำดับขั้นมีความสัมพันธ์กันทางบวกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .001 ซึ่งเป็นการสนับสนุนแนวความคิดการจำแนกพฤติกรรมการเรียนรู้ที่สมองของมนุษย์ที่บลูม และคณะ (Bloom and others. 1972, 201-207) เสนอไว้ว่า พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยประกอบด้วย 6 พฤติกรรมย่อย ได้แก่ ความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า
2. รูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย ตามสมมติฐานการวิจัย (Hypothesized Model)
รูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย ตามสมมติฐานการวิจัยเป็นรูปแบบที่ไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย ในผลสัมฤทธิ์กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เมื่อพิจารณาในรายละเอียดของรูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยตามสมมุติฐานการวิจัย พบว่า พฤติกรรมด้านพุทธิพิสัยแต่ละด้านมีความสัมพันธ์เชิงสาเหตุและผลต่อเนื่องกันตามลำดับ มีแยกแขนงออกมาเพียงเส้นทางเดียว คือ จากพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความเข้าใจไปยังด้านการสังเคราะห์ โดยในลำดับขั้นต่ำเป็นสาเหตุทางตรงไปยังลำดับขั้นที่สูงขึ้น นั่นคือ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความรู้ความจำ เป็นสาเหตุต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความเข้าใจ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความเข้าใจเป็นสาเหตุต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการนำไปใช้ และการสังเคราะห์ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการนำไปใช้เป็นสาเหตุต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการวิเคราะห์ และพฤติกรรมการเรียนรู้ด้าน
การนำไปใช้ เป็นสาเหตุต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการประเมินค่า และมีรูปแบบของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยอย่างง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน มีเส้นทางแสดงความสัมพันธ์ในรูปแบบเพียง 6 เส้นทาง ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้รูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยตามสมมติฐานการวิจัย มีรูปแบบไม่สอดคล้องกับข้อมูลจากสภาพจริง
3. รูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่สอดคล้องกับข้อมูลจากสภาพจริง
รูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่ปรับปรุงใหม่ (Trimmed Model) เป็นรูปแบบที่มีความสอดคล้องกับพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยในผลสัมฤทธิ์ กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในระดับสูง เมื่อพิจารณารูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้น การเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่ปรับปรุงใหม่ในรายละเอียด พบว่า พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความรู้ความจำ เป็นสาเหตุต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความเข้าใจ การนำไปใช้ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า แต่ไม่เป็นสาเหตุต่อการวิเคราะห์ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความเข้าใจเป็นสาเหตุต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการนำไปใช้ การวิเคราะห์ และการสังเคราะห์ แต่ไม่เป็นสาเหตุต่อการประเมินค่า ในส่วนของรูปแบบที่พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความเข้าใจไม่เป็นสาเหตุต่อการประเมินค่า สอดคล้องกับรูปแบบของมิลเลอร์ และรูปแบบของไรท์ แต่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบของวรรณวิภา จัตุชัย พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการนำไปใช้เป็นสาเหตุต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการวิเคราะห์เป็นสาเหตุต่อพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านประเมินค่า แต่ไม่เป็นสาเหตุต่อการสังเคราะห์ ในส่วนของรูปแบบที่พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการวิเคราะห์ไม่เป็นสาเหตุต่อการสังเคราะห์นี้ สอดคล้องกับรูปแบบของมิลเลอร์ รูปแบบของไรท์ และรูปแบบของวรรณวิภา จัตุชัย และในส่วนของรูปแบบที่พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการสังเคราะห์ไม่เป็นสาเหตุต่อการประเมินค่า สอดคล้องกับรูปแบบของวรรณวิภา จัตุชัย แต่ไม่สอดคล้องกับรูปแบบของต่างชาติ คือ รูปแบบของมิลเลอร์และรูปแบบของไรท์ ความแตกต่างของรูปแบบในรายละเอียดบางเส้นทางที่กล่าวมาข้างต้นอาจเป็นผลมาจากเนื้อวิชา หรือเชื้อชาติที่แตกต่างกัน
4. พฤติกรรมการเรียนรู้ทางสมองของมนุษย์ (พุทธิพิสัย) ประกอบด้วยพฤติกรรมย่อย 6 พฤติกรรม
จากผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยประกอบพฤติกรรมย่อย 6 ด้าน ได้แก่ ด้านความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า สอดคล้องกับการวิจัยของวรรณวิภา จัตุชัย (2530, 80-81) และผลการวิจัยของประเสริฐ บุญโห้ (2536, 38-39) ซึ่งเป็นข้อมูลสนับสนุนแนวความคิดการจัดจำแนก พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยของบลูมและคณะ แสดงให้เห็นว่า ในการจัดการศึกษาทุกระดับต้องมุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาทางสมอง คือ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยทั้ง 6 พฤติกรรม นั่นคือ ควรจะกำหนดจุดประสงค์ที่ก่อให้เกิดการพัฒนาของพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยทั้ง 6 พฤติกรรมในหลักสูตร กิจกรรมการเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผล ตามสัดส่วนที่เหมาะสมตามวัย ระดับชั้น และพื้นฐานความรู้ของผู้เรียน
5. พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความรู้ความจำ ความเข้าใจ และการนำไปใช้เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาให้เกิดพฤติกรรมในลำดับขั้นที่สูงขึ้น คือ การวิเคราะห์
การสังเคราะห์ และการประเมินค่า
จากรูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยรูปแบบที่ปรับปรุงใหม่ พบว่า พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยในลำดับขั้นต่ำเป็นสาเหตุในการพัฒนาให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยในลำดับขั้นที่สูงขึ้นแม่ว่าจะไม่ได้เรียงลำดับของสาเหตุอย่างสะสมต่อเนื่องแบบเส้นตรง ซึ่งสอดคล้องกับแนวความคิดของบลูม และคณะ (Bloom and others. 1972, 201-207) ที่เสนอไว้ว่า การเรียงลำดับขั้นอาจเป็นไปในรูปแบบอื่น ๆ ได้อีก แต่พฤติกรรมการเรียนรู้ในลำดับต่ำจะง่าย ซับซ้อนน้อย และเป็นสาเหตุพื้นฐานในการพัฒนาให้เกิดพฤติกรรมในลำดับขั้นที่สูงขึ้น ซึ่งซับซ้อน ยุ่งยากขึ้น ดังนั้นในการพัฒนาหลักสูตรสำหรับผู้เรียนในระดับใดๆ จะต้องคำนึงถึงพฤติกรรมพื้นฐานในลำดับขั้นต่ำของผู้เรียนในระดับชั้นนั้นว่าอยู่ในลำดับขั้นใด ก่อนที่จะกำหนดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยในลำดับขั้นที่สูงขึ้นไปให้สอดคล้องในการจัดการเรียนการสอนในระดับใด ๆ ครูผู้สอนจะต้องทราบพฤติกรรมพื้นฐานของผู้เรียนก่อน ซึ่งอาจจะใช้วิธีการวัดผลวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือหลายวิธีประกอบกันก่อนเรียน (Pre-Measurement) ให้ได้ข้อสนเทศเพื่อการทบทวน และพัฒนาให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ในลำดับขั้นที่สูงขึ้น และการวัดผลประเมินผล ควรจะให้ความสำคัญต่อการวัดพฤติกรรม การเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร ซึ่งพฤติกรรมขั้นพื้นฐาน คือ ความรู้ความจำ ความเข้าใจ และการนำไปใช้ จนมีสัดส่วนที่สูงกว่าพฤติกรรมในลำดับขั้นสูง คือ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า
6. พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยจะพัฒนาจากลำดับขั้นต่ำที่ง่ายซับซ้อนน้อยไปยังลำดับขั้นสูงขึ้นที่ยาก และซับซ้อนมากขึ้น แต่ไม่เป็นสาเหตุอย่างต่อเนื่องในลำดับขั้นสูง
จากรูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยรูปแบบที่ปรับปรุงใหม่ พบว่า พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยทั้ง 6 ลำดับขั้น มีการพัฒนาไปตามลำดับขั้น แต่ไม่เป็นสาเหตุอย่างต่อเนื่องแบบเส้นตรงในพฤติกรรมการเรียนรู้ลำดับขั้นสูง คือ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า นั่นคือในการพัฒนาให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ลำดับขั้นสูง เช่น การสังเคราะห์ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดการวิเคราะห์ก่อน แต่การสังเคราะห์อาจพัฒนาให้เกิดได้เมื่อผู้เรียนมีพฤติกรรมความรู้ความจำ หรือความเข้าใจ หรือการนำไปใช้ หรือทั้งสามพฤติกรรมร่วมกัน พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยในลำดับขั้นความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ และการวิเคราะห์ เป็นสาเหตุทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อกัน สอดคล้องกับรูปแบบของวรรณวิภา จัตุชัย รูปแบบของมิลเลอร์ รูปแบบของไรท์ และสอดคล้องผลการศึกษาของครอปป์ และสตอกเกอร์ (Seddon. 1978, 303-323 ; อ้างอิงมาจาก Kropp and Stoker. 1964, 39-42) ที่พบว่า พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย มีการเรียงลำดับขั้นเฉพาะพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความรู้ความจำความเข้าใจการนำไปใช้ และการวิเคราะห์ เท่านั้น ส่วนการสังเคราะห์ และการประเมินค่าไม่ได้เรียงตามลำดับอย่างต่อเนื่องกัน กล่าวคือ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยเป็นสาเหตุทั้งทางตรง และทางอ้อมต่อพฤติกรรมลำดับขั้นที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ และการวิเคราะห์ พฤติกรรมการเรียนรู้ในลำดับขั้นต่ำ เป็นสาเหตุสำคัญในการพัฒนาให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ในลำดับที่สูงขึ้นของสี่ ลำดับขั้นแรก คือ พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านความรู้ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ และการวิเคราะห์ส่วนเส้นทางจากพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่า ไม่ได้เป็นสาเหตุต่อกันอย่างต่อเนื่อง โดยในการพัฒนาให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการประเมินค่าไม่จำเป็นต้องมีพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านสังเคราะห์ก่อนก็ได้ และในการพัฒนาให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ ด้านการสังเคราะห์ ไม่ต้องมีสาเหตุจากพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านวิเคราะห์ก่อนก็สามารถพัฒนาให้เกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการสังเคราะห์ได้เช่นกัน
พฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยในลำดับขั้นความรู้ความจำ ความเข้าใจ และ
การนำไปใช้ เป็นสาเหตุต่อลำดับขั้นที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยในลำดับขั้นการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการประเมินค่าไม่เป็นสาเหตุต่อลำดับขั้นที่สูงอย่างต่อเนื่อง แต่เป็นผลที่พัฒนามาจากพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย ในลำดับขั้นที่ต่ำกว่า ดังนั้นในการจัดการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกำหนดจุดประสงค์ของหลักสูตรในทุกระดับซึ่งถือว่าเป็นหลักที่สำคัญต่อการกำหนดการจัดการเรียนการสอน และการวัดผล และประเมินผลด้วยนั้น ควรคำนึงถึงสาเหตุ และผลของพฤติกรรมการเรียนรู้ ด้านพุทธิพิสัยลำดับขั้นที่ต่ำกว่า กล่าวคือ เนื้อหาของวิชาต้องต่อเนื่องสอดคล้องกัน ในแต่ละระดับชั้น ระดับอายุของผู้เรียน จุดประสงค์การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนจากเดิมไปสู่พฤติกรรมการเรียนรู้ในลำดับขั้นที่สูงขึ้นการจัดการเรียนการสอนก็ควรเลือกสรรกิจกรรมที่จะพัฒนาพฤติกรรมการเรียนรู้เดิมของผู้เรียนไปสู่พฤติกรรมที่สูงขึ้น ซึ่งในการพัฒนาไปสู่พฤติกรรมลำดับขั้นที่สูงขึ้นนั้นอาจไม่ต้องรอให้เกิดพฤติกรรมลำดับขั้นที่ต่ำกว่ามาตามลำดับขั้นก็ได้ การจัดกิจกรรมที่พัฒนาพฤติกรรมของผู้เรียนได้อย่างสอดคล้องและต่อเนื่องกับพื้นฐานพฤติกรรมเดิมของผู้เรียนจะช่วยให้การเรียนการสอนบรรลุจุดประสงค์ และเป้าหมายของหลักสูตรได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และการวัดผลจะเป็นการวัดผลการจัดเรียนการสอนของครูด้วย ครูควรเลือกใช้เครื่องมือ หรือวิธีการวัดที่หลากหลายและเหมาะสมกับพฤติกรรมที่ต้องการวัด เมื่อการวัดผลได้วัดพฤติกรรมที่สอดคล้องกับหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน การประเมินผลย่อมมีความเที่ยงตรงตามไปด้วย
จากผลการวิจัยครั้งนี้ ได้ผลในภาพรวมที่สอดคล้องกับการจำแนกลำดับขั้น การเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย และได้รูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยรูปแบบใหม่ที่มีความสอดคล้องพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยในผลสัมฤทธิ์กลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในระดับสูง โดยรูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่ปรับปรุงใหม่ ไม่ได้เป็นสาเหตุทางตรงต่อกันอย่างต่อเนื่องแบบเส้นตรง ทั้งนี้อาจจะเป็นผลมาจากชนิดของเครื่องมือ คุณภาพของข้อทดสอบ เนื้อหาวิชา ระดับชั้น หรืออายุ และกลุ่มตัวอย่างของการวิจัย
ข้อเสนอแนะสำหรับการบริหารหลักสูตรและการเรียนการสอน
1. การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาควรกำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังหรือจุดมุ่งหมายให้ครอบคลุมพฤติกรรมทางการศึกษาในด้านพุทธิพิสัยในทุกลำดับขั้น ของทุกระดับช่วงชั้น อย่างสอดคล้องต่อเนื่อง โดยต้องคำนึงถึงการเป็นสาเหตุและผลของพฤติกรรมการเรียนรู้ลำดับขั้นพื้นฐานต่อพฤติกรรมลำดับขั้นที่สูงขึ้นตามรูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยที่ปรับปรุงใหม่ด้วย
2. การจัดการเรียนการสอน ผู้บริหารสถานศึกษาควรบริหารและจัดการปัจจัยให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมที่สอดคล้องกับพฤติกรรมที่หลักสูตรต้องการ คือ ให้มีการวิเคราะห์หลักสูตร แล้วเลือกหรือจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่จะพัฒนาพฤติกรรมการเรียนรู้ลำดับขั้นพื้นฐานที่ต่ำของผู้เรียนไปสู่พฤติกรรมการเรียนรู้ในลำดับขั้นที่สูงขึ้นตามที่หลักสูตรกำหนดอย่างมีทิศทางหรือเป้าหมายที่ชัดเจน
3. การวัดผลประเมินผล ผู้บริหารควรสนับสนุนส่งเสริมให้ครูได้เลือกใช้เครื่องมือหรือวิธีการที่หลากหลาย และเหมาะสมกับลำดับขั้นของพฤติกรรมการเรียนรู้ที่จะวัด เครื่องมือต้องมีความเที่ยงตรงในการวัดลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัย และสัดส่วนในการวัดพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยทั้ง 6 ลำดับขั้นของกระบวนการคิดจะต้องวัดพฤติกรรมที่สอดคล้องกับหลักสูตร และกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งจะส่งผลให้การประเมินผลมีความเที่ยงตรงด้วย
ถึงแม้ว่าในปัจจุบันแนวคิดการจำแนกจุดมุ่งหมายทางการศึกษาของบลูมที่ปรับปรุงใหม่นี้ อาจจะยังไม่มีการนำมาใช้ในกระบวนการจัดการศึกษาต่างๆ อย่างเป็นทางการ แต่ความสอดคล้องกับการปฏิบัติจริงในกระบวนการจัดการศึกษาโดยเฉพาะมิติของความรู้ที่เพิ่มเติมเข้ามานั้น ซึ่งประกอบด้วย ความรู้ในข้อเท็จจริง ความรู้ในความคิดรวบยอด ความรู้ในกระบวนการ และความรู้ในอภิปัญญา มีนักการศึกษาอื่น ๆได้กล่าวถึงและมีการนำแนวคิดมาใช้อยู่แล้ว ประกอบกับมีผลการวิจัยหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ศึกษาแนวคิดนี้ในการนำไปใช้จริง จึงนับเป็นการเพิ่มจุดแข็ง ลดจุดอ่อนให้แนวคิดของบลูม สามารถอธิบายระดับการคิดของมนุษย์ได้อย่างชัดเจนและครอบคลุมหลายมิติยิ่งขึ้น จึงเชื่อได้ว่า จะมีการนำแนวคิดที่ปรับปรุงใหม่นี้มาใช้ในกระบวนการต่าง ๆของการจัดการศึกษาของโลกในอนาคตอันใกล้นี้อีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดจุดมุ่งหมายในหลักสูตร การบริหารและการพัฒนาหลักสูตร การวางแผนการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน การประเมินผลทางการศึกษา เป็นต้น
ผู้เขียนเชื่อว่า ถ้าหากผู้บริหารสถานศึกษารู้และทำความเข้าใจในแนวคิดนี้เพิ่มเติม น่าจะช่วยให้การบริหารจัดการสถานศึกษา การส่งเสริมกระบวนการเรียนการสอนและการประเมินผลทางการศึกษามีกระบวนการและทิศทางที่ชัดเจนขึ้นโดยมุ่งผลที่ผู้เรียนเป็นสำคัญอย่างแน่นอน
เอกสารอ้างอิง
ประเสริฐ บุญโห้. (2536). ความสัมพันธ์ระหว่างการเรียนรู้ตามลำดับขั้นกับระดับความสามารถ
ในกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิต ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องชาติไทย. วิทยานิพนธ์
การศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยนเรศวร.
วรรณวิภา จัตุชัย. (2530). รูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยใน
ผลสัมฤทธิ์วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น . วิทยานิพนธ์ครุศาสตร
ดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการวัดและประเมินผลการศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
วิทวัฒน์ ขัตติยะมาน และฉัตรศิริ ปิยะพิมลสิทธิ์. (2549). การปรับปรุงจุดมุ่งหมายทางการศึกษา
ของบลูม (Revised Bloom’s Taxonomy). [ออนไลน์]. [วันที่ 5 สิงหาคม 2549]. จาก :
http : //www.วัดผลจุดคอม.
สมภาร ศิโล. (2541). รูปแบบโครงสร้างของลำดับขั้นการเรียนรู้ด้านพุทธิพิสัยในผลสัมฤทธิ์กลุ่ม
สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์การศึกษา
มหาบัณฑิต สาขาวิชาวัดผลการศึกษา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
Seddon, G. Malcolm. (1978). The Properties of Bloom’s Taxonomy of Educational
Objectives for the Cognitive Domain, Review of Educational Research.
48(2) : 303-323 ; Spring.
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
สวัสดีปีใหม่ครับผม.. เงียบหายไปนานนะ.....
ตอบลบ